บล็อกนี้ได้จัดทำขึ้นเพื่อใช้ประกอบการเรียนการสอนรายวิชา อินเตอร์เน็ตและการสื่อสารในชีวิตประจำวัน ของ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม

วันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2554

บรรเทาอาการปวดศีรษะด้วยวิธีธรรมชาติ

เดี๋ยวนี้คนเรามีความเครียด ความเหนื่อยล้ามากขึ้น อาการปวดหัวจึงเป็นสิ่งที่ได้ยินกันบ่อยขึ้นทุกที ใครที่ปวดหัวเป็นประจำทุกวัน ทำยังไงก็ไม่หาย... และสงสัยว่าตัวเองมีอาการไมเกรนหรือปวดหัวข้างเดียว แล้วล่ะก็ เรามีวิธีบำบัดแบบธรรมชาติมาฝากกัน



หลายคนอาจจะคาดไม่ถึงว่า อาหารที่เรารับประทานเข้าไปมีส่วนอย่างยิ่งต่อการเกิดอาการปวดหัว คนที่ปวดหัวเรื้อรังจึงต้องสังเกตตัวเองให้ดีว่า มีอาหารประเภทไหนที่รับประทานเข้าไปแล้วทำให้ปวดหัวหนึบขึ้นมา ถ้ารู้แล้วก็ เลี่ยงอาหารนั้นๆ เสีย อาการปวดหัวก็จะห่างออกไปและค่อยๆ หายไปในที่สุด

โดยเฉพาะคนที่รู้ตัวว่ามีอาการปวดหัวที่เกิดจากโรคไมเกรนด้วยแล้ว เรามีคำแนะนำถึงอาหารที่ควรหลีกเลี่ยงมาฝาก ได้แก่
- แอลกอฮอล์ทุกชนิด ทำให้หลอดเลือดที่หนังศีรษะขยายตัวและทำให้เกิดอาการปวดหัวตามมา
- เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน
- อาหารเย็นจัดๆ สำหรับบางคนก็ทำให้ปวดหัวหนึบขึ้นมาทันที
- ผงชูรส มีสารโมโนโซเดียมกลูตาเมทที่มีรายงานว่ากระตุ้นให้เกิดอาการปวดหัวไมเกรน
- อาหารที่เปรี้ยว จัดๆ เช่น ส้ม มะนาว ผักสด ผลไม้สด ก็มีรายงานว่าบางคนรับประทานเข้าไป
แล้วปวดหัว ยิ่งเปรี้ยวมากเพียงใดก็ยิ่งกระตุ้นให้ปวดหัวได้มากเพียงนั้น แต่ว่าความเปรี้ยวแท้ๆ จากน้ำส้มสายชูกลับไม่มีผลต่ออาการปวดหัว จึงเข้าใจว่าสำหรับบางคนอาหารที่มีวิตามินซีสูงๆ อาจจะกระตุ้นให้ปวดหัวก็ได้
       ทั้งหมดนี้เป็นเพียงข้อสังเกตของคนที่เป็นไมเกรนว่า อาหารชนิดไหนที่กระตุ้นให้เกิดอาการปวดหัวได้บ้าง แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นแบบเดียวกันทุกคน และไม่จำเป็นต้องแพ้ทุกอย่าง เช่น บางคนรับประทานผงชูรสแล้ว ปวดหัวแต่รับประทานอาหารรสเปรี้ยวได้ก็มี
       ส่วนอาหารที่รับประทานแล้วช่วยลดการเกิดอาการปวดหัวได้ดี คือ ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ ผักและผลไม้ ต่างๆ นอกจากนี้ควรหาวิธีคลายเครียด อื่นๆ เช่น ออกกำลังกาย ฟังเพลง นั่งสมาธิ ประกอบกันไปด้วยจึงจะหายปวดหัวได้ในระยะยาว

      ทิ้งท้ายสำหรับคนที่มีอาการปวดหัว...
       "น้ำ" ช่วย คุณได้ ถ้าปวดหัวจนนอนไม่หลับให้ใช้กระเป๋าน้ำร้อน หรือขวดใส่น้ำร้อนที่ไม่ร้อนจนเกิน ไปประคบบริเวณท้ายทอย แล้วใช้ผ้าเย็นประคบที่หน้าผาก จะช่วยให้อาการปวดหัวทุเลาลงได้ ส่วนถ้าใครปวดหัวแบบตื้อๆ มึนๆ ให้แช่เท้าในน้ำอุ่นประมาณครึ่งชั่วโมง อาการปวดก็จะบรรเทาลงได้ค่ะ





การฟังเพลงก็เป็นอีกวิธีที่ช่วยคลายความเครียด และลดอาการปวดหัว



ที่มา : http://women.sanook.com/%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9B%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B8%A8%E0%B8%B5%E0%B8%A3%E0%B8%A9%E0%B8%B0%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B4-937878.html

น้ำคั้นดื่มช่วยให้สวยใสสุขภาพดีได้จริงหรือ?

     น้ำผักผลไม้คั้นพร้อมดื่ม สามารถช่วยให้สวยใสสุขภาพดีได้จริงหรือ คำตอบที่ได้คือ จริงค่ะ ที่ช่วยให้ผิวเราสวยใส และสุขภาพดีขึ้นนั้นเป็นเพราะเอนไซม์ที่มีอยู่ในน้ำผัก ผลไม้ หรือสมุนไพรต่าง ๆ แต่เอนไซม์เหล่านี้จะอยู่ได้ไม่เกินครึ่งชั่วโมง เพราะฉะนั้นควรจะรีบดื่ม
หากเราต้องการเอนไซม์ที่มีประโยชน์และคุณค่าอย่างแท้จริง ควรที่จะหลีกเลี่ยงการปรุงด้วยความร้อน เพราะเอนไซม์จะตายหมด การใช้เครื่องปั่นไฟฟ้าจะทำให้เอนไซม์ถูกทำลายจากกระแสไฟฟ้าและกระแสแม่ เหล็ก หากใช้เครื่องปั่นชนิดแยกกากมาใช้ จะสามารถป้องกันไม่ให้เอนไซม์ถูกทำลายได้
     เครื่องดื่มแต่ละชนิดมีอะไรบ้างที่ควรดื่มเป็นประจำ ช่วยบำรุงระบบต่าง ๆ ในร่างกายให้ทำงานดีขึ้นและยังสามารถป้องกันอันตรายที่จะเกิดกับร่างกายของ เราได้
  • น้ำขึ้นฉ่ายฝรั่ง
    มีประโยชน์ช่วยลดคอเลสเตอรอลและทำให้เลือดสะอาด
  • น้ำตำลึง
      เป็นผักที่มีเบต้าแคโรทีนสูงมาก มีส่วนช่วยในเรื่องสมานแผลในกระเพาะอาหารได้เป็นอย่างดี
  • น้ำสับปะรด
     ช่วยย่อยโปรตีน ทำให้ท้องไม่อืด อุดมด้วยวิตามินซี จึงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้ระบบภูมิคุ้มกัน มี   โพแทสเซียมสูง จึงช่วยป้องกันการเป็นตะคริวและลดความอ้วนได้ มีฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบ
  • น้ำกระเทียม
        ช่วยลดคอเลสเตอรอล ความดันโลหิตและสามารถฆ่าเชื้อโรคได้เป็นอย่างดี
  • น้ำแตงโม
        ช่วยทำให้ผิวพรรณชุ่มชื้น ระบบต่าง ๆ ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้นดับร้อน แก้กระหาย และยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของไตได้เป็นอย่างดี
  • น้ำมะระ
       ช่วยในเรื่องการทำงานของไตให้มีประสิทธิภาพขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยฟอกเลือดได้ 
  • น้ำขิง
      ช่วยในเรื่องการขับลม แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ เรอ 
  • น้ำแครอต
  • แครอตมีเบต้าแคโรทีนที่ช่วยต้านสารอนุมูลอิสระ ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน วิตามิน A ในแครอตจะช่วยบำรุงสายตา ลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งปอดช่วยให้ตับทำงานได้ดีขึ้น
  • น้ำใบเตย
          ช่วยขับปัสสาวะและบำรุงหัวใจได้เป็นอย่างดี
  • น้ำรากบัว
  • ช่วยบำรุงระบบหายใจ แก้อาการไซนัส   
  • น้ำสะระแหน่
  • ช่วยแก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ขับลม 
  • น้ำชาเขียว
ช่วยยังยั้งการเกิดแบคทีเรียในช่องปาก ลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งชนิดต่าง ๆ ลด

คอเลสเตอรอลในเส้นเลือด

  • น้ำเก๊กฮวย
     ช่วยบำรุงหัวใจและประสาทได้เป็นอย่างดี
  • น้ำใบบัวบก
        ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการทำงานของเซลล์สมอง ทำให้ความจำดีขึ้นกำจัดสารพิษตกค้างในร่างกาย ลดความดันโลหิต บำรุงประสาท
    


     
ที่มา : http://www.wedding.co.th/wartc_health0065.html

วันพฤหัสบดีที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ออกกำลังกายตามช่วงอายุ...ชีวิตจะยืนยาว

     การออกกำลังนั้นมีประโยชน์ คนทุกวัยจึงควรออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาแม้แต่เด็กเล็กหรือผู้สูงอายุ แต่ต้องเลือกวิธีการให้เหมาะสมทั้งชนิดและความหนักเบาของกีฬา และต้องคำนึงถึงความปลอดภัยและการป้องกันการบาดเจ็บด้วย
    เมื่อเข้าสู่อายุ 30 ปีขึ้นไปความสามารถของร่างกายจะเริ่มลดลง ทั้งด้านความทนทาน ความว่องไว กำลังของกล้ามเนื้อ การเล่นกีฬาที่ใช้กำลังมากๆ หรือคนที่มีโรคประจำตัว หากออกกำลังกายโดยไม่คำนึงถึงความสามารถของตน ก็จะเป็นสาเหตุทำให้เกิดอันตรายหรือบาดเจ็บได้



อายุ 1 - 3 ปี เล่น และออกกำลังกายเป็นครั้งคราว เพื่อให้เด็กเรียนรู้จากสิ่งแวดล้อมรอบตัว และเกิดพัฒนาการของร่างกาย โดยใช้กิจกรรม ทักษะการเคลื่อนไหวพื้นฐาน เช่น เดิน วิ่ง กระโดด
อายุ 4 - 6 ปี ควรได้ใช้ทุกส่วนของร่างกายในการออกกำลัง เพื่อพัฒนากล้ามเนื้อและระบบหายใจ เช่น การวิ่ง ว่ายน้ำ ถีบจักรยาน เล่นกายบริหาร กิจกรรมเลียนแบบ และเกมเบ็ดเตล็ด
อายุ 7 - 11 ปี เน้น การออกกำลังกายทุกส่วนของร่างกาย เพื่อให้เกิดความคล่องแคล่วและเกิดการประสานงาน เช่น เล่นกีฬา ว่ายน้ำ ถีบจักรยาน และเล่นเกมที่ยากขึ้น รวมถึงกิจกรรมที่นำไปสู่การเล่นกีฬา



อายุ 12 - 17 ปี ออกกำลังให้ครบทุกส่วนของร่างกายโดยเน้นสมรรถภาพของร่างกายและพัฒนาทักษะทาง กลไกให้มีการทำงานที่สัมพันธ์กัน เช่น วิ่ง ถีบจักรยาน เล่นบาสเกตบอล วอลเลย์บอล ว่ายน้ำ เต้นแอโรบิค เต้นรำ แบดมินตัน และอื่น ๆ
อายุ 18 - 35 ปี ออกกำลังเพื่อเน้นฝึกให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดของร่างกาย และเน้นการฝึกทักษะที่ยากและซับซ้อน เพื่อเป็นพื้นฐานความสามารถ ของร่างกาย ส่งเสริมให้มีการออกกำลังกายทุกรูปแบบ กิจกรรมควรเน้นความหลากหลาย เพื่อพัฒนากล้ามเนื้อให้ครบทุกส่วน ของร่างกาย และเน้นการออกกำลังให้เป็นกิจวัตรประจำวัน หรืออย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง วันละ 20 - 30 นาที



อายุ 36 - 59 ปี การออกกำลังต้องมีหลายรูปแบบและสามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบการออกกำลังกายให้ เหมาะสมกับร่างกาย เวลา สถานที่ เนื่องจาก เป็นวัยที่มีภาระหน้าที่ในการทำงานและครอบครัว ส่วนใหญ่มักมีข้ออ้างว่าไม่มีเวลาว่าง แต่ร่างกายมีความต้องการที่จะให้ดูแลรักษา และฟื้นฟูสภาพร่างกายที่เสื่อมถอย ถ้าไม่ได้ออกกำลังกายมานาน ควรปรึกษาแพทย์
หากอายุ 45 ปีขึ้นไป ควรตรวจร่างกาย และการทำงานของหัวใจด้วย ควรเล่นกีฬาหรือออกกำลังที่เคยทำ แต่ลดความเร็วและความหนักลง เช่น ว่ายน้ำ ถีบจักรยาน กายบริหาร วิ่งเหยาะ ๆ ในวันที่ไม่ได้ออกกำลังกายก็ควรมีกิจกรรมที่ออกแรง เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ เช่น ทำงานบ้าน ยกแขนขึ้นลง บิดลำตัว ก้มเงย
อายุ 60 ปีขึ้นไป การ ออกกำลังกายในวัยนี้มีข้อจำกัด ต้องยึดแนวทางการปฏิบัติอย่างเคร่งครัด มิฉะนั้นอาจจะเกิดโทษต่อสุขภาพ ควรปรึกษาแพทย์ ก่อนเริ่มออกกำลังกาย โดยเฉพาะการทำงานของหัวใจ กิจกรรมที่ออกกำลังควรเป็นแบบเบา ๆ เช่น เดิน วิ่ง รำมวยจีน รำกระบอง กายบริหารประกอบดนตรี ไม่ควรออกกำลังกายที่ใช้แรงมากในระยะสั้น ๆ




ที่มา :  http://entertain.bungkan.com/data/3/0303-1.html