บล็อกนี้ได้จัดทำขึ้นเพื่อใช้ประกอบการเรียนการสอนรายวิชา อินเตอร์เน็ตและการสื่อสารในชีวิตประจำวัน ของ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม

วันอังคารที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2554

กินอะไรให้ความจำดี? "อาหารช่วยความจำดี"


สาวๆ คนไหนที่ชอบในการกิน วันนี้เรามีการกินเพื่อสุขภาพมาบอกให้รู้กันและไขข้อสงสัยว่า กินอะไรให้ความจำดี? คำตอบอยู่ที่ อาหารช่วยความจำดี คุณเคยมีความรู้สึกบ้างไหมค่ะว่าวันๆ หนึ่งเราใช้งานสมองหนักขนาดไหน ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน การเรียน และอะไรอีกหลายๆ อย่างจนบางครั้งเรามีความรู้สึกว่านึกอะไรไม่ค่อยจะออกเลยและแถมยังมีช่วงที่หลงๆ ลืมๆ อีกด้วย คุณอาจจะกำลังเกิดคำถามที่ว่า กินอะไรให้ความจำดี? อย่างที่เรารู้กันดีว่าสมองจะเกี่ยวข้องกับการสื่อสารของระบบประสาทซึ่งเกี่ยวเนื่องกับประสิทธิภาพความจำ วันนี้เราก็เลยได้นำเอา อาหารช่วยความจำดี มาฝากกันค่ะ สำหรับใครที่ชอบในการกินเพื่อสุขภาพอยู่แล้วและเกิดคำถาม กินอะไรให้ความจำดี? แล้วหล่ะก็วันนี้คุณจะเลิกกังวลกับปัญหานั้นไปได้เลยอย่างแน่นอน ถ้าคุณลองเลือกรับประทาน อาหารช่วยความจำดี ของเราในวันนี้ค่ะ ว่าแล้วเราก็เข้าไปทำความรู้จักกับอาหารช่วยความจำดีกันเลยดีกว่าค่ะ

 


9 อาหารช่วยความจำดี

1. พืชผักจำพวกหอมหัวใหญ่ พริก ขิง มีสารสำคัญที่ช่วยเพิ่มเซลล์สมองและกระตุ้นการหลั่งสารอะซีทิลโคลีนจึงช่วยให้ความจำดีขึ้น

 2. ใบบัวบก มีสารที่ช่วยกระตุ้นการเรียนรู้ของสมองทำให้สมองตอบสนองต่อสิ่งเร้าได้ดี สมาธิดี และความจำดีขึ้น

3. เนื้อสัตว์ มีสารทอรีนที่พบเฉพาะในโปรตีนจากเนื้อสัตว์เท่านั้นช่วยบำรุงสมอง

4. ปลาทะเล มีโอเมก้า 3 ช่วยให้เซลล์ประสาททำงานได้อย่างเป็นปกติ ลดการเกิดพลัค (plaque) ในสมองและป้องกันอัลไซเมอร์ได้

5. ธัญพืช มีกรดโฟลิก วิตามินบี 12 และวิตามินบี 6 เช่น ซีเรียลธัญพืช รำข้าว หรือข้าวซ้อมมือ อาหารเหล่านี้จะช่วยในเรื่องความจำได้เป็นอย่างดี

 6. มะเขือเทศ มีไลโคพีน สารแอนตี้ออกซิแดนท์ที่ช่วยป้องกันเซลล์จากการถูกทำลายของอนุมูลอิสระซึ่งพบในอาการของโรควิกลจริตและอัลไซเมอร์

7. บร็อกโคลี เป็นแหล่งรวมของวิตามินเคที่ช่วยในการเพิ่มศักยภาพในการเรียนรู้และช่วยเพิ่มความสามารถในการจำ

8. ถั่ว ผักใบเขียว ไข่ ข้าวซ้อมมือ มีวิตามินอีช่วยในการป้องกันความจำเสื่อม

9. เมล็ดฟักทอง มีสังกะสีที่มีความสำคัญในการช่วยเพิ่มความทรงจำ ถ้ารับประทานเมล็ดฟักทองวันละ 1 กำมือ จะทำให้ได้รับสังกะสีเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย



      นอกจากอาหารที่แนะนำมาแล้วนั้นยังมีผลการศึกษาวิจัยใหม่ๆ จากนักประสาทวิทยา สหรัฐฯ พบว่า สารเคมีในช็อกโกแลต ชา องุ่น และผลบลูเบอรี่ช่วยบำรุงความจำได้ โดยช่วยให้เลือดลมในสมองเดินดีขึ้นและหากออกกำลังเพิ่มด้วยแล้วก็จะยิ่งช่วยให้สมองทำงานได้ดียิ่งขึ้น

     หากต้องการให้สมองของเราดีมีความจำที่เป็นเลิศก็อย่าละเลยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์บำรุงความจำ และถ้าจะให้ผลดีก็ต้องรับประทานเป็นประจำด้วยสมองก็จะดีแบบเสมอต้นเสมอปลายค่ะ






กลิ่นบำบัดความเครียดหรือกลิ่นบำบัดอโรมาเทอราปี

กลิ่นบำบัดความเครียดหรือกลิ่นบำบัดอโรมาเทอราปีนั้นเป็นกลิ่นที่จะช่วยให้คุณผู้หญิงรู้สึกสบายอารมณ์มากยิ่ง กลิ่นบำบัดความเครียดหรือกลิ่นบำบัดอโรมาเทอราปีบางชนิดยังช่วยให้คุณผู้หญิงมีจิตใจที่สงบคลายความตรึงเครียดได้เป็นอย่างดีอีกด้วย และวันนี้เราก็มีกลิ่นบำบัดความเครียดหรือกลิ่นบำบัดอโรมาเทอราปีมาแนะนำคุณผู้หญิงหรือใครๆ ที่ต้องการความผ่อนคลายอยากให้จิตใจแจ่มใสและรู้สึกสงบถึงอารมณ์มากยิ่งขึ้น นอกจากคลายความเครียดแล้วในกลิ่นบำบัดความเครียดหรือกลิ่นบำบัดอโรมาเทอราปีนี้ยังมีส่วนช่วยเรื่องการบำบัดจิตใจให้สงบมากยิ่งขึ้นอีกด้วยค่ะ


5 กลิ่นบำบัดความเครียด " 5 กลิ่นบำบัดอโรมาเทอราปี"

1. กลิ่นมินต์

 ช่วยให้สดชื่นในยามเช้า เจลอาบน้ำกลิ่นมิ้นต์จะช่วยให้กระปรี่กระเปร่า ขับไล่ความง่วง กลิ่นน้ำมันหอมระเหยของมินต์ช่วยกระตุ้นให้เลือดลมไหลเวียน ช่วยให้ภูมิต้านโรคแข็งแรงและแช่มชื่น นอกจากนี้ ความเย็นของน้ำมันกลิ่นมินต์ ยังช่วยให้จิตใจเบิกบานพร้อมที่จะเริ่มต้นวันใหม่

2. กลิ่นมะนาว

 ช่วยให้มีสมาธิ ช่วยให้ห้องทำงานหรือบ้านสดชื่น ลองหยดน้ำมันหอมระเหยกลิ่นมะนาวในตะเกียง กลิ่นสดชื่นของมะนาวจะช่วยต้านความเครียดในสมอง และกระตุ้นให้มีความคิดสร้างสรรค์ สมองปลอดโปร่ง ทำงานได้เร็วขึ้นและผิดพลาดน้อยลง รับรองว่าบอสของคุณต้องชอบแน่ ๆ

3. กลิ่นส้ม

 สำหรับยามบ่ายที่คิดอะไรไม่ออก ความ เครียดสะสมเพราะเวลา 16.00 น. คนส่วนมากจะรู้สึกเหนื่อยอ่อนและง่วงนอน ความเครียดและความว้าวุ่นโจมตี แต่น้ำมันหอมระเหยกลิ่นส้มสามารถช่วยได้ โดยการหยดใส่นิ้วแล้วนวดเบา ๆ ที่ขมับ กลิ่นหวานอุ่น ๆ จะช่วยให้อารมณ์ดีและลดความเครียดจิตใจสงบ มีพลังใหม่ ๆ ในการจัดการกับหน้าที่การงานต่อไป

4. กลิ่นวานิลลา

 เมื่อเลิกงานหรือทำงานบ้านเสร็จ เรามักรู้สึกเหนื่อยเพลียและอารมณ์ไม่ดี อะโรมากลิ่นวานิลลา สามารถช่วยให้คุณรู้สึกสุขสงบและช่วยให้อารมณ์แจ่มใส ลองหยดน้ำมันหอมระเหยกลิ่นวานิลลาสองสามหยด ลงบนผ้าเช็ดหน้าแล้วสูดดมเป็นครั้งคราว หรือวางไว้ข้างตัวระหว่างขับรถกลับบ้าน

5. กลิ่นลาเวนเดอร์

 ช่วยให้นอนหลับฝันดี หาก คุณเป็นคนที่นอนหลับยาก ลองให้น้ำมันหอมระเหยกลิ่นลาเวนเดอร์ช่วยสิค่ะ เพราะมันจะช่วยผ่อนคลายทั้งร่างกายและจิตใจ ช่วยให้ความคิดสงบและช่วยให้นอนหลับพักผ่อนได้เต็มที่ ข้อแนะนำก็คือ ใช้น้ำมันหอมระเหยกลิ่นลาเวนเดอร์นวดที่แขนและขาอย่างเบาๆ



"วิธีแก้อาการท้องผูก" ช่วยให้สุขภาพดี

เคล็ดลับง่ายๆ เพื่อการมีสุขภาพที่ดีด้วยวิธีแก้อาการท้องผูก อาการท้องผูกถือว่าเป็นอีกหนึ่งปัญหาที่หลายๆ คนคงพบเจอและคงไม่มีใครที่อยากจะเป็น เพราะอาการท้องผูกเป็นอาการที่ทรมานมากๆ วันนี้เราก็เลยได้นำเอา 9 วิธีแก้อาการท้องผูก มาบอกกันค่ะ สำหรับ วิธีแก้อาการท้องผูก เป็นวิธีง่ายๆ ไม่ยุ่งยากและที่สำคัญ วิธีแก้อาการท้องผูก ก็สามารถหาตัวช่วยดีๆ ได้จากพืชผักที่คุณมีใช้ติดบ้านนั้นแหล่ะค่ะ ว่าแล้วเราก็เข้าไปทำตาม 9 วิธีแก้อาการท้องผูก ที่สุดแสนจะง่ายดายกันเลยดีกว่ามั้ยค่ะ รับรองได้เลยว่าเพียงคุณลองทำตาม 9 วิธีแก้อาการท้องผูก วิธีใดวิธีหนึ่งที่เรานำมาบอกให้รู้ในวันนี้ปัญหาอาการท้องผูกที่สุดแสนจะทรมานก็จะหายไปไม่กลับมารบกวนคุณให้กังวลใจได้อีกอย่างแน่นอนค่ะ งั้นถ้าพร้อมแล้วเราก็ไปทำตามเทคนิคดีๆ ที่ช่วยแก้อาการท้องผู้กันเลยดีกว่าค่ะ



9 วิธีแก้อาการท้องผูก

1. ดื่มน้ำเมล็ดแมงลักแช่น้ำ โดยใช้เมล็ดแมงลัก 2 ช้อนชา แช่น้ำให้พองเต็มที่ในน้ำเปล่า 1 แก้ว ( 250 ซีซี ) แล้วดื่ม

2. กินมะละกอสุก ประมาณ 1/4 ลูก

3. ดื่มน้ำอุ่น 3-4 แก้ว ( 750-1,000 ซีซี ) ขณะท้องว่าง หรือเพิ่งลุกจากที่นอนและควรดื่มภายใน 10-15 นาที ทั้งนี้ควรดื่มในขณะยืนเพื่อไม่ให้รู้สึกจุก หรือดื่มตอนเดินไปมาเพื่อให้ลำไส้ขยับตัว

4. รับประทานลูกพรุนแห้งก่อนเข้านอน แต่ไม่ควรกินมากและบ่อยเนื่องจากมีปริมาณน้ำตาลสูง

5. ดื่มน้ำมะขามเปียกค่อนข้างเข้มข้น ประมาณ 1 แก้ว ทั้งนี้ทั้งนั้นควรดูปริมาณที่เหมาะสมกับตนเอง

6. ฝึกขับถ่ายให้เป็นเวลา และไม่ควรกลั้นอุจจาระจนติดเป็นนิสัย

7.หมั่นเดินออกกำลังกาย ประมาณ 20-30 นาที จะช่วยให้ระบบลำไส้ทำงานได้ดีขึ้น

8. ลองนวดบริเวณลำไส้ใหญ่ โดยนวดที่บริเวณใต้สะดือใช้มือนวดวนตามแนวลำไส้ใหญ่ (ทวนเข็มนาฬิกา) ทำสักพักจะรู้สึกอยากเข้าห้องน้ำ

9. เปลี่ยนท่านั่งในการเข้าห้องน้ำเพื่อให้ขับถ่ายดีขึ้น โดยให้นั่งยอง ๆ แบบส้วมหลุม เนื่องจากจะทำให้ลำไส้ใหญ่ส่วนปลายอยู่ในลักษณะตรง ทำให้ขับถ่ายได้ง่ายและไม่มีอุจจาระเหลือค้างอยู่ในลำไส้ใหญ่ แต่ถ้าบ้านไหนเป็นชักโครก เวลานั่งให้หากล่องหรือถังขยะมาวางเท้า เพื่อให้เข่ายกสูงขึ้น


วันจันทร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2554

การพอกหน้าด้วยผงพิเศษตราร่มชูชีพและ โยเกิร์ต

      เคล็ดลับง่ายๆ ที่ช่วยให้ผิวหน้าหมองคล้ำ กลับมาสดใส ไร้สิว และรูขุมขนกระชับ.....คือการพอกหน้าด้วยผงพิเศษตราร่มชูชีพและ โยเกิร์ต      ส่วนผสม : โยเกิร์ตรสธรรมชาติและไม่พร่องไขมัน 2 ช้อนโต้ะ + ผงพิเศษตราร่มชูชีพ 1 ซอง + น้ำมะนาว 1 ช้อนชา

     โยเกิร์ตช่วยให้ผิวหน้าที่หมองคล้ำกลับดูสดใส เปล่งปลั่ง ตัวเนื้อครีมที่ละเอียดของโยเกิร์ตจะช่วยปรับสีผิวให้เรียบเนียนเสมอกัน และลดอาการระคายเคือง
แลคติกแอซิดในโยเกิร์ตช่วยกระชับรูขุมขน ช่วยผลัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพ ให้หลุดออกไป ขจัดสิวเสี้ยน ลดความมัน จุดด่างดำ ริ้วรอยหยาบกร้าน และยังช่วยบำรุงผิวหน้าให้ชุ่มชื่นขาวเนียนกระจ่างใสอย่างมีสุขภาพดี
     น้ำมะนาวมี กรดผลไม้ AHA ซึ่งจะช่วยให้เซลล์ผิวหน้าที่เสื่อมสภาพหลุดลอกออกไป พร้อมๆ กับช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ๆ และช่วยให้รอยด่างดำหรือรอยแผลเป็นจางลง
      ผงพิเศษตราร่มชูชีพ ช่วยกำจัดเชื้อแบคทีเรีย และสิ่งสกปรกที่อุดตันรูขุมขนบนใบหน้าให้หมดไป หน้าก็จะเนียนใส ไร้สิว

      แนะนำให้พอกหน้าด้วยผงพิเศษตราร่มชูชีพ และโยเกิรต์เป็นประจำ สัปดาห์ละ
1-2 ครั้ง



ที่มา : http://www.youtube.com/watch?v=Xg5IBvE5PGU

การพอกหน้าด้วยผงพิเศษตราร่มชูชีพและไข่แดง

    การพอกหน้าด้วย ผงพิเศษตราร่มชูชีพ และ ไข่แดง เพื่อใบหน้าที่ เนียนนุ่ม และ ปราศจากสิว

   ส่วนผสมและอุปกรณ์ : ไข่ไก่ 1 ฟอง เลือกใช้เฉพาะไข่แดง + ผงพิเศษตราร่มชูชีพ 1 ซอง + กระดาษทิชชู่เช็ดหน้าตัดเป็นชิ้นสี่เหลื่ยม ขนาด 1 นิ้ว


- ไข่แดงมีวิตามิน A, B2 แร่ธาตุสังกะสี โปแตสเซี่ยม โปรตีนและไขมันในปริมาณที่สูง ซึ่งจะช่วยบำรุงผิวให้เนียนนุ่ม ไม่แห้งกร้าน

- ผงพิเศษตราร่มชูชีพ ช่วยกำจัดเชื้อแบคทีเรียและสิ่งสกปรกที่อุดตันรูขุมขนบนใบหน้าให้หมดไป ไม่มีสิว

   ควรพอกหน้าด้วยผงพิเศษตราร่มชูชีพ กับไข่แดงสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง เพื่อผิวหน้าเนียนนุ่ม ไม่แห้งกร้าน กระจ่างใส ไร้สิว




ที่มา : http://www.youtube.com/watch?v=orDNzb8NOpA




7 พฤติกรรมทำร้ายผิวไม่รู้ตัว

      ผู้หญิงทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นห่วงเป็นใยเรื่องความสวยความงามของตัวเองด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะสุขภาพ ผิวพรรณ ใบหน้า และรูปร่างเอย เรียกว่าทุกอย่างเลยล่ะ โดยเฉพาะในเรื่องของผิวพรรณและใบหน้า ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ยอมแพ้กันไม่ได้ เครื่องสำอางมากมายหลายชนิดก็เลยขายดีเป็นเทน้ำเทท่า แต่ใครเลยจะรู้ว่า ในขณะที่เราสรรหาผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ มาประโคมผิวนั้น สาว ๆ ก็ทำร้ายผิวด้วยวิธีที่คิดไม่ถึงสารพัดเลยล่ะ   ขอหยิบยกเรื่องพฤติกรรมทำลายผิวมาฝากกัน ไปดูกันค่ะว่ามีพฤติกรรมไหนที่คุณทำร้ายผิวโดยไม่รู้ตัวในทุก ๆ วันบ้าง
       1. ไม่ยอมใช้ครีมกันแดด เพราะแสงแดดทุกวันนี้มีทั้งรังสียูวีเอและยูวีบี ที่นอกจากทำให้ผิวคุณดำคล้ำแล้ว ยังสะสมเป็นมะเร็งผิวหนังได้อย่างง่ายดาย สาว ๆ ไม่ว่าจะวัยไหนจึงต้องใช้ครีมกันแดดเป็นประจำเมื่อออกนอกบ้าน แม้จะป้องกันแสงแดดไม่ได้ทั้งหมด แต่อย่างน้อยก็ยังมีสิ่งที่ป้องกันใบหน้าและผิวจากแสงแดดหน่อยก็ดีค่ะ

        2. ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่จำเป็นสำหรับผิว เช่น ใช้ครีมผิวขาวทั้งที่คุณก็ข๊าวขาว ใช้ครีมลดรอยด่างดำทั้งที่ใบหน้าคุณออกจะใสกิ๊ง หรือใช้ครีมกำจัดสิวทั้งที่หน้าไม่มีสิวเลยซักเม็ด แต่ใช้เพื่ออยากจะป้องกันสิว เฮ้อ พฤติกรรมนี้ยิ่งเลิกเร็วเท่าไหร่ยิ่งดีเลยค่ะสาว ๆ คุณรู้ไหมว่าการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่จำเป็นกับผิวนั้น จะยิ่งทำร้ายผิวและทำให้ใบหน้าคุณเกิดการดื้อยาเวลาที่คุณเกิดปัญหานั้นขึ้นมาจริง ๆ ด้วยล่ะ

        3. ขัดผิวบ่อยเกินไป จริงอยู่ที่การขัดผิวเป็นการผลัดเซลล์ผิวเก่าที่ตายแล้วออกไป แล้วเผยผิวใหม่ที่สว่างใสกว่าเดิม แต่การขัดผิวเป็นประจำนั้นจะทำให้ทำลายเกราะป้องกันของผิว ทำให้ผิวแก่เร็วกว่าที่ควรจะเป็นค่ะ
        4. อาบน้ำอุ่นเป็นเวลานาน เพราะมันจะทำให้ผิวของคุณแห้งมากถึงมากที่สุด ขึ้นอยู่กับเวลาที่คุณอาบน้ำอุ่นนั่นแหละค่ะ ยิ่งถ้าหากคุณเป็นคนผิวแห้งแล้ว ก็ยิ่งจะทำให้ผิวแห้งมากขึ้นไปอีกจนบางคนถึงกับลอกเลยทีเดียวล่ะ ดังนั้นถ้าไม่จำเป็นอย่าอาบน้ำอุ่นเลยค่ะ อาบน้ำอุณหภูมิปกติดีกว่าเยอะ สดชื่นด้วย

        5. ใช้เครื่องสำอางทุกวัน อย่าลืมว่าเครื่องสำอางที่เติมสีสันให้กับใบหน้าแต่ละชนิด ผ่านกรรมวิธีทางเคมีมาทั้งนั้นค่ะคุณสาว ๆ ไม่ได้ส่งตรงมาจากธรรมชาตินะคะ ดังนั้นหากเว้นได้บ้างซักวันสองวัน ก็คงดีไม่น้อย ปล่อยให้ใบหน้าได้หายใจหายคอนอกจากช่วงเวลากลางคืนบ้างค่ะ

        6. คุยโทรศัพท์มือถือนาน ดูเหมือนจะไม่ได้เกี่ยวอะไรกันกับเรื่องผิวพรรณซักนิด แต่ลองคิดดูให้ดี ๆ แล้วจะเห็นว่ามันมีผลอย่างแท้จริงค่ะ เนื่องจากการคุยโทรศัพท์มือถือนานนั้นจะทำให้ความร้อนจากโทรศัพท์มือถือถูกปล่อยออกมาอย่างต่อเนื่องและร้อนขึ้นเรื่อย ๆ จนคุณอาจจะคุ้นชิน แต่ความร้อนเหล่านี้ล่ะค่ะ ที่จะค่อย ๆ ทำร้ายผิวคุณช้า ๆ ดังนั้นถ้าเป็นไปได้ แนะนำให้ใช้สมอลล์ทอล์คดีกว่าค่ะ

        7. ดื่มแอลกอฮอล์บ่อย ๆ ข้อนี้คงเป็นที่รู้กันดีอยู่แล้ว (แต่ก็ยังอดใจไม่ได้) เพราะแอลกอฮอล์นั้นยิ่งดื่มมากเท่าไหร่ ยิ่งทำให้ผู้ดื่มขาดวิตามินบี ซึ่งส่งผลให้ผิวพรรณเสื่อมสภาพ เหี่ยว และแก่เร็วนั่นเอง
           รู้อย่างนี้แล้ว ก็อย่าลืมหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ว่ามาข้างต้นนะคะ เพื่อที่ผิวสวยจะได้อยู่กับคุณตลอดไป

10 วิธีเพื่อเล็บสวยสุขภาพดี

          เล็บมือและเล็บเท้าของเรา ถือว่าเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้มือและเท้าของเราดูสะอาด มีสุขภาพดีได้ การดูแลสุขภาพเล็บ จึงเป็นสิ่งที่ผู้หญิงทุกคนพึงกระทำให้เป็นกิจวัตร พอ ๆ กับการดูแลสุขภาพผิวของเราเองนั่นแหละค่ะ โดยเฉพาะสาว ๆ ที่ชอบทาเล็บ แต่งเล็บแล้ว ยิ่งต้องบำรุงเล็บกันให้มากกว่าคนทั่วไปเลยทีเดียวล่ะ เพราะถ้าหากเล็บเหลือง หรือเล็บเสียมา เวลาที่คุณหยิบจับอะไรก็จะเป็นที่สังเกตที่เห็นได้ชัด เลยมีวิธีดูแลสุขภาพเล็บ 10 วิธีมาฝากกัน

         1. ทานอาหารให้มีประโยชน์ โดยเฉพาะอาหารจำพวกผักผลไม้ ควรเติมเต็มให้ร่างกายอย่าให้ขาด เพราะไม่อย่างนั้นเล็บของคุณอาจมีรอยฝ้า หรือมีหลุมเล็ก ๆ ซึ่งบ่งบอกสุขภาพของคุณได้เป็นอย่างดี
         2. เน้นวิตามินบี เหล็ก และแคลเซียม ในอาหารแต่ละมื้อ เพราะสารอาหารทั้งสามตัวนี้จะช่วยฟื้นฟูเล็บ ทำให้เล็บมีสุขภาพดี ที่สำคัญคือวิตามินอีอย่าให้ขาด เพราะทำให้เล็บสวยจ้า
         3. อย่ากัดเล็บ เพราะนอกจากจะทำให้เสียบุคลิกภาพแล้ว การกัดเล็บยังทำให้เล็บขาดไม่เรียบร้อย และดูสกปรกได้
     4. ใส่ถุงมือทุกครั้งที่ต้องสัมผัสกับสารเคมี เช่น การขัดห้องน้ำ เพราะมันเป็นอันตรายกับทั้งเล็บและมือ ทำให้เล็บอ่อนแอหรือเหลืองได้
     5. เพื่อทำให้เล็บแข็งแรงขึ้น ใช้เกลือทะเลครึ่งช้อนโต๊ะผสมกับน้ำ 1 ลิตร และแช่เล็บลงในน้ำเกลือนั้นประมาณ 20 นาที แล้วล้างออก จะช่วยทำให้เล็บแข็งแรงขึ้น
     6. เช็ดมือทุกครั้งที่ล้างจาน ว่ายน้ำ หรือแม้แต่เวลาใส่รองเท้า เพราะความชื้นอาจจะทำให้เกิดเชื้อแบคทีเรียต่าง ๆ ได้ง่ายกว่า ดังนั้นต้องเช็ดมือทุกครั้ง จะช่วยป้องกันการติดเชื้อได้เยอะเลย
     7. ตัดเล็บและตะไบเล็บให้มนเรียบร้อย เพื่อป้องกันการหมักหมมของสิ่งสกปรก และไม่ให้เล็บคมบาดผิว
    8. บำรุงมือและเล็บให้ชุ่มชื้น ด้วยการใช้ครีมบำรุงมือและเล็บโดยเฉพาะ เพื่อสุขภาพที่ดีของมือและเล็บ
    9. หากคุณเป็นสาวที่ชื่นชอบการทาเล็บ อย่าลืมลงเบสโคท หรือรองพื้นก่อนทาเล็บทุกครั้ง เพราะจะช่วยบำรุงเล็บ ให้เล็บไม่ถูกสารเคมีจากยาทาเล็บที่อาจจะทำให้เล็บเหลือง แต่อย่างไรก็ดี อย่าลืมใช้น้ำยาล้างเล็บล้างสีทาเล็บออกให้หมด ให้เล็บได้เปลือยบ้างสัปดาห์ละ 2-3 วั
    10. เลือกยาทาเล็บที่ไม่ทำลายเล็บ สาว ๆ รู้ไหมว่า ยาทาเล็บที่ดีนั้นต้องไม่มีส่วน ผสมของ Acetone หรือก็คือแอลกอฮอล์ เพราะจะทำให้เล็บแห้งและหักง่าย สาว ๆ จึงควรเสียเวลาเล็กน้อย พลิกขวดดูส่วนประกอบของยาทาเล็บ หรือมองหาคำว่า Acetone Free ก็ได้ค่ะ



ผิวเนียนเปล่งปลั่งกับน้ำมะพร้าว

        น้ำมะพร้าว นับเป็นเครื่องดื่มเกลือแร่จากธรรมชาติ เพราะอุดมไปด้วยแร่ธาตุหลายอย่าง ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายและผิวเนียน สวย สดใส

         -  การดื่มน้ำมะพร้าวทุกวัน จะช่วยชะลออาการอัลไซเมอร์
-  น้ำมะพร้าว ช่วยสมานแผล ทำให้แผลหายเร็วขึ้นกว่าปกติ รวมทั้งไม่ทิ้งรอยแผลเป็นบนผิวเนียนให้ดูต่างหน้าอีกด้วย

-  น้ำมะพร้าว ยังช่วยทำให้ผิวเนียนเปล่งปลั่ง สวย สดใส เพราะแร่ธาตุที่อยู่ในน้ำมะพร้าว จะเป็นตัวสร้างคอลลาเจน และอีลาสติน ทำให้ผิวเนียนมีความกระชับ ยืดหยุ่น และ ชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัยได้

-  น้ำมะพร้าว ช่วยลดอาการอ่อนเพลีย หลังจากเล่นกีฬา ออกกำลังกาย ท้องเสีย ท้องร่วง หรือร่างกายเสียน้ำมาก ซึ่งจะทำให้ผิวเนียนของเราไม่ขาดความสดใส

-  น้ำมะพร้าวเป็นอาหารบริสุทธิ์ เป็นเครื่องประทินผิวเนียนให้สวยสดใสยิ่งขึ้น และเป็นยาบำรุงกำลัง บำรุงเส้นเอ็น ใช้ในการรักษาโรคต่างๆ อย่างเช่น โรคกระดูก ท้องร่วง อาเจียน และขับพยาธิ เป็นต้น



Tips:

 น้ำมะพร้าว ช่วยลดอาการเมาหลังการดื่มแอลกอฮอล์ได้

 เมื่อเปิดลูกมะพร้าว ควรดื่มน้ำมะพร้าวทันที ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้นานนะค่ะ เพราะคุณค่าของผลไม้ที่จะได้รับจะลดลงเรื่อยๆ ตามเวลาที่ผ่านไปนับจากเราตัดหรือหั่นผลไม้ชนิดๆนั้นๆ

 ทุกเพศ ทุกวัย สามารถดื่มน้ำมะพร้าวได้ทุกวันนะค่ะ เพราะเป็นเครื่องดื่มจากธรรมชาติ ไม่เป็นอันตรายใดๆเหมือนน้ำอัดลม น้ำหวาน เป็นต้น แต่ไม่เหมาะสำหรับคนเป็นโรคไตและเบาหวานเพราะมะพร้าวมีความหวาน


ที่มา :

ผิวสวยด้วยน้ำ


             น้ำเป็นปัจจัยที่สำคัญอย่างหนึ่งที่ไม่สามารถขาดได้ ในชีวิตประจำวันของคนเรา โดยปกติเราจะดื่มน้ำก็ต่อเมื่อคอแห้ง หรือดื่มน้ำระหว่างรับประทานอาหารเพื่อดับกระหายเท่านั้น ซึ่งนั่นอาจจะไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย แต่ถ้าเราลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดื่มน้ำกันใหม่ เราก็สามารถผิวสวย สุขภาพดีได้แบบไม่ต้องลงทุนเหมือนกันนะจ๊ะ ด้วย 6 เคล็ดลับผิวสวยด้วยน้ำคะ

1. เริ่มต้นวันใหม่ด้วยการดื่มน้ำ ดื่มน้ำแร่ธรรมชาติให้ได้วันละ2ลิตร ติดต่อกันเป็นเวลา 2 สัปดาห์ เพื่อให้ร่างกายได้รับน้ำบริสุทธิ์ในปริมาณที่เพียงพอ ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใส ควบคุมอุณหภูมิในร่างกายให้เหมาะสม ช่วยย่อยและดูดซึมอาหาร และ ขับของเสียไปตามกระแสเลือด
2. วางน้ำดื่มไว้ข้างเตียงก่อนเข้านอน เมื่อตื่นมากลางดึก ถ้าร่างกายได้น้ำดื่มสักแก้วจะช่วยเพิ่มความสดชื่นให้กับร่างกาย และสามารถนอนหลับต่อได้อย่างง่ายดายคะ
3. พกน้ำดื่มติดตัวไปทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นที่ทำงาน ระหว่างการเดินทาง หรือที่บ้าน เป็นต้น เพราะการดื่มน้ำให้ติดเป็นนิสัย จะทำให้สุขภาพดีนะจ๊ะ
4. ดื่มน้ำจากขวดให้ได้บ่อยที่สุด เพราะดื่มง่าย พกพาสะดวก และเพิ่มปริมาณการดื่มน้ำได้มากขึ้นด้วย
5. ดื่มน้ำให้สม่ำเสมอเมื่อเล่นกีฬา โดยดื่มน้ำทั้งก่อนและหลังการออกกำลังกายในปริมาณที่มากพอ เพื่อชดเชยการเสียเหงื่อของร่างกาย
6. ไอเดทด้วยน้ำ ดื่มน้ำ 1 แก้ว ก่อนและหลังรับประทานอาหารกลางวัน จะช่วยลดอาการหิวควบคุมปริมาณการทานอาหาร และหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีแคลอรีสูงประเภทอื่นคะ
     การดื่มน้ำให้ถูกวิธีก็เป็นอีกหนึ่งที่สามารถช่วยทำให้ผิวของเราดูเปล่งปลั่งสดใส และมีสุขภาพดี


ที่มา :

วันอาทิตย์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2554

6 เทคนิคการดูแลผิวหน้าด้วยผลไม้

ทุกวันนี้ผิวโดนทำร้ายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นแสงแดด หรือมลภาวะต่างๆ ถึงเวลา Back to the nature เพิ่มเติมความสดใสคืนสู่ผิวกันแล้วนะจ๊ะ สำหรับหนุ่มสาวที่อยากหน้าใสสวยเด้ง มี 6 สูตรมาร์คหน้าง่ายๆ ที่จะทำให้หน้าขาวใส มาฝากกันโดยใช้ผลไม้มาเป็นส่วนประกอบหลัก
              
1.สูตรหน้าใสด้วยน้ำผึ้งผสมมะนาว                              

ส่วนผสม: น้ำผึ้ง 1 ถ้วย

              น้ำมะนาว 1 ช้อนชา

วิธีทำ: ผสมน้ำผึ้งกับน้ำมะนาวให้เข้ากัน นำมานวดให้ทั่วใบหน้าประมาณ 15 นาที หลังจากนั้นล้างออกด้วยน้ำสะอาด

  • มะนาว จะช่วยขจัดเซลล์ผิวเช่นเดียวกับครีมที่ผสมกรด AHA ส่วนน้ำผึ้งจะทำให้ผิวหน้านุ่มและชุ่มชื้น

2. สูตรหน้าใสด้วยแอปเปิ้ล

ส่วนผสม: แอปเปิ้ล ปอกเปลือกแล้วคว้านเอาเฉพาะเนื้อ

              น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ: นำเนื้อแอปเปิ้ลมาปั่นรวมกับน้ำผึ้ง ทาให้ทั่วใบหน้าแล้วนวดเบาๆ ทิ้งไว้ 15 นาที หลังจากนั้นล้างออกด้วยน้ำเย็น

  • สูตรนี้จะช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดออกไป เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้า ทำให้ใบหน้าดูสดใสเปล่งปลั่ง อีกด้วย

3. สูตรกระชับรูขุมขน

ส่วนผสม:  กล้วยหอม แตงกวาหรือมะเขือเทศ เลือกใช้อย่างใดอย่างหนึ่งปอกเปลือก เอาเมล็ดออกให้หมดแล้วหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ

              น้ำผึ้งหรือนมเปรี้ยว

วิธีทำ: ใช้กล้วยหอม แตงกวาหรือมะเขือเทศก็ได้ เติมน้ำผึ้งหรือนมเปรี้ยว นำไปปั่นให้ละเอียดจนเป็นเนื้อครีม นำมาพอกให้ทั่วใบหน้าและลำคอ ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที ล้างออกด้วยน้ำอุ่น

  • สูตรนี้จะ ช่วยทำความสะอาดใบหน้า และกระชับรูขุมขนและบำรุงผิวให้ชุ่มชื้น

4. สูตรครีมทำความสะอาดผิวหน้า (Cleanser)

ส่วนผสม: โยเกิร์ต ½ ถ้วย

               น้ำมันดอกทานตะวัน

               มะนาวสด1½ ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ: ผสมโยเกิร์ต น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมะนาวสดให้เข้ากัน นำมาพอกให้ทั่วหน้าประมาณ 5 นาที ทุกเช้าและก่อนนอน แล้วจึงล้างออก ด้วยน้ำสะอาด

  • สูตรนี้ใช้ได้กับทุกสภาพผิว จะช่วยทำความสะอาดผิวหน้าได้อย่างล้ำลึก และบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นอีกด้วย

5. สูตรสาวผิวแห้ง มอยเจอร์ไรเซอร์จากกล้วย

ส่วนผสม: กล้วย 1 ผล

              น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ: บดกล้วยกับน้ำผึ้ง ผสมให้เข้ากัน นำมาพอกให้ทั่วใบหน้าทิ้งไว้ 15 นาที ล้างออกด้วยน้ำอุ่น จะทำให้ผิวหน้าชุ่มชื้นขึ้น

  • สูตรนี้เหมาะกับผิวแห้ง

6. สูตรพอกหน้าใสจากแตงกวา

ส่วนผสม: แตงกวา 1 ผล หั่นแตงกวาเป็น ชิ้นบางๆ

ไข่ไก่ 1 ฟอง(ใช้เฉพาะไข่ขาว)

น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ: นำแตงกวา ไข่ไก่(ใช้เฉพาะไข่ขาว)และมะนาว ไปปั่นจนละเอียดเป็นเนื้อเดียวกัน นำมาพอกให้ทั่วใบหน้า เว้นรอบปากและดวงตา ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วจึงล้างหน้าตามปกติ หมั่นทำบ่อยๆ ทุกสัปดาห์ จะช่วยลดความมันส่วนเกิน และยังช่วยกระชับรูขุมขน ผิวหน้าจะ ดูเนียนเรียบและชุ่มชื้น

  • เหมาะสำหรับผิวมันและผิวผสม

Tips:

  • ผลไม้ที่ใช้ต้องสด มีคุณภาพดี
  • ภาชนะที่ใช้ใส่ผลไม้ ส่วนผสมต่างๆ ควรใช้แก้วหรือกระเบื้อง
  • ก่อนทำการพอกหน้า ควรทำความสะอาดใบหน้าให้สะอาด โดยการอัง ใบหน้ากับไอน้ำและนวดเบาๆ เพื่อเปิดรูขุมขน
  • เวลาพอกหน้าไม่ควรพูดคุยหรืออ่านหนังสือ

ที่มา :